วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คีย์ลัดของ Windows และ Office

แป้นพิมพ์ลัด (ShortCut) ใน Windows XP
        
         เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน Windows ง่ายๆ ด้วยการจดจำ และเรียนรู้การใช้งาน Keyboard ผสมผสานกับการใช้งานเม้าส์ รับรองคุณจะทำงานได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

BACKSPACE (ดูโฟลเดอร์ย้อนขึ้นหนึ่งระดับใน My Computer หรือ Windows Explorer)
ESC (ยกเลิกงานปัจจุบัน)
CTRL+C (คัดลอก)
CTRL+X (ตัด)
CTRL+V (วาง)
CTRL+Z (ยกเลิก)
DELETE (ลบ)
SHIFT+DELETE (ลบรายการที่เลือกอย่างถาวรโดยไม่เก็บไว้ในRecycle Bin)
กดปุ่ม CTRL ขณะที่ลากรายการ (คัดลอกรายการที่เลือก)
กดปุ่ม CTRL+SHIFT ขณะที่ลากรายการ (สร้างทางลัดไปยังรายการที่เลือก)
ปุ่ม F2 (เปลี่ยนชื่อรายการที่เลือก)
CTRL+ ลูกศรขวา (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของคำถัดไป)
CTRL+ ลูกศรซ้าย (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของคำก่อนหน้า)
CTRL+ ลูกศรลง (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของย่อหน้าถัดไป)
CTRL+ ลูกศรขึ้น (ย้ายเคอร์เซอร์ไปยังจุดเริ่มต้นของย่อหน้าก่อนหน้าไป)
CTRL+SHIFT พร้อมกับปุ่มลูกศรใดๆ (ไฮไลต์บล็อกข้อความ)
CTRL+A (เลือกทั้งหมด)
ปุ่ม F3 (ค้นหาไฟล์หรือโฟลเดอร์)
ALT+ENTER (ดูคุณสมบัติต่างๆ ของรายการที่เลือก)
ALT+F4 (ปิดรายการที่ใช้งานอยู่ หรือปิดโปรแกรมที่ใช้งาน)
ALT+ENTER (แสดงคุณสมบัติของออบเจกต์ที่เลือก)
ALT+SPACEBAR (เปิดเมนูทางลัดสำหรับหน้าต่างที่ทำงานอยู่)
CTRL+F4 (ปิดเอกสารที่ใช้งานอยู่)
ALT+TAB (สลับระหว่างรายการต่างๆ ที่เปิดอยู่)
ALT+ESC (สลับไปยังรายการต่างๆ ตามลำดับที่เปิด)
ปุ่ม F6 (สลับไปตามรายการอิลิเมนต์บนหน้าจอในหน้าต่างหรือบนเดสก์ทอป)
ปุ่ม F4 (แสดงรายการแอดเดรสบาร์ใน My Computer หรือ Windows Explorer)
SHIFT+F10 (แสดงเมนูทางลัดสำหรับรายการที่เลือก)
ALT+SPACEBAR (เปิดเมนูระบบสำหรับหน้าต่างที่ทำงานอยู่)
CTRL+ESC (แสดงเมนู Start)
ALT+อักษรขีดเส้นใต้ในชื่อเมนู (แสดงเมนูนั้นๆ) อักษรที่ขีดเส้นใต้ในชื่อคำสั่งบนเมนูที่เปิด (ทำงานตามคำสั่งนั้นๆ)
ปุ่ม F10 (เปิดแถบเมนูในโปรแกรมที่กำลังใช้งาน)
ลูกศรขวา (เปิดเมนูถัดไปทางขวา หรือเปิดเมนูย่อย)
ลูกศรซ้าย (เปิดเมนูถัดไปทางซ้าย หรือปิดเมนูย่อย)
ปุ่ม F5 (อัปเดทหน้าต่าง)
กดปุ่ม SHIFT ขณะที่ใส่แผ่นซีดีรอมลงในไดรฟ์ซีดีรอม (ยกเลิกการเล่นซีดีรอมอัตโนมัติ)
CTRL+SHIFT+ESC (เปิด Task Manager)

คีย์ลัดของ Office

CTRL + A = Select All เลือกทั้งหมด
CTRL + B = Bold ตัวหนา
CTRL + C = Copy คัดลอก
CTRL + D = Font format กำหนดรูปแบบอักษร
CTRL + E = Center ตรงกลาง
CTRL + F = Find ค้นหา
CTRL + G = Goto ไปที่
CTRL + H = Replace แทนที่
CTRL + I = Italic ตัวเอียง
CTRL + J = Justify จัดชิดขอบ
CTRL + K = Insert Hyper Link แทรกการเชื่อมโยงหลายมิติ
CTRL + L = Left จัดชิดซ้าย
CTRL + M = Indent เพิ่มระยะเยื้อง
CTRL + N = New สร้างแฟ้มใหม่
CTRL + O = Open เปิดแฟ้มใหม่
CTRL + P = Print พิมพ์
CTRL + Q = Reset Paragraph ตั้งค่าย่อหน้าใหม่
CTRL + R = Right จัดชิดขวา
CTRL + S = Save จัดเก็บ (บันทึก)
CTRL + T = Tab (ตั้งระยะแท็บ)
CTRL + U = Underline ขีดเส้นใต้
CTRL + V = Paste วาง
CTRL + W = Close ปิดแฟ้ม
CTRL + X = Cut ตัด
CTRL + Y = Redo or Repeat ทำซ้ำ
CTRL + Z = Undo ยกเลิกการกระทำครั้งล่าสุด
CTRL + SHIFT + A = All Caps ทำเป็นตัวใหญ่ทั้งหมด (สำหรับภาษาอังกฤษ)
CTRL + SHIFT + B = Bold ตัวหนา
CTRL + SHIFT + C = Copy Format คัดลอกรูปแบบ
CTRL + SHIFT + D = Double Underline ขีดเส้นใต้ 2 เส้น
CTRL + SHIFT + E = Revision Mark Toggle สลับการทำเครื่องหมายรุ่นเอกสาร
CTRL + SHIFT + F = Fonts Name Select เลือกชื่อแบบอักษร
CTRL + SHIFT + G = Word count นับจำนวนคำ
CTRL + SHIFT + H = Hidden ซ่อน
CTRL + SHIFT + I = Italic ตัวเอียง
CTRL + SHIFT + J = Thai Justify จัดคำแบบไทย
CTRL + SHIFT + K = Small Caps ทำอักษรตัวพิมพ์เล็กให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่แบบเล็กๆ
CTRL + SHIFT + L = Apply List Bullet ใช้เครื่องหมายหน้าข้อ
CTRL + SHIFT + M = Unindent ลดระยะเยื้อง
CTRL + SHIFT + N = Normal Style ใช้ลักษณะแบบปกติ
CTRL + SHIFT + P = Font Size Select เลือกขนาดแบบอักษร
CTRL + SHIFT + Q = Symbol Font ใช้แบบอักษรสัญลักษณ์
CTRL + SHIFT + R = Recount Words นับคำใหม่
CTRL + SHIFT + S = Style กำหนดลักษณะ
CTRL + SHIFT + T = Unhang ไม่แขวนภาพ
CTRL + SHIFT + U = Underline ขีดเส้นใต้
CTRL + SHIFT + V = Paste Format วางรูปแบบ
CTRL + SHIFT + W = Word Underline ขีดเส้นใต้เฉพาะคำ
CTRL + SHIFT + Z = Reset Character ตั้งค่าแบบอักษรใหม่
CTRL + ALT + C = Copyright sign ((c)) สัญลักษณ์ลิขสิทธิ์
CTRL + ALT + E = Euro Sign (?) สัญลักษณ์เงินยูโร
CTRL + ALT + F = Insert Footnote Now แทรกหมายเหตุ
CTRL + ALT + I = Print Preview ตัวอย่างก่อนพิมพ์
CTRL + ALT + K = Auto Format จัดรูปแบบอัตโนมัติ
CTRL + ALT + L = Insert List Number แทรกเลขลำดับหน้าข้อ
CTRL + ALT + M = Insert Annotation แทรกคำอธิบาย
CTRL + ALT + N = Normal View มุมมองปกติ
CTRL + ALT + O = Outline View มุมมองแบบร่าง
CTRL + ALT + P = Page View มุมมองเหมือนพิมพ์
CTRL + ALT + R = Registered sign สัญลักษณ์เครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียน
CTRL + ALT + S = Document Split แยกเอกสาร
CTRL + ALT + T = Trade Mark sign (?) สัญลักษณ์เครื่องหมายการค้า CTRL + ALT + U = Update Auto Format for Table ปรับปรุงการจัดรูปแบบอัตโนมัติในตาราง
CTRL + ALT + V = Insert Auto Text แทรกข้อความอัตโนมัติ
CTRL + ALT + Y = Repeat find ค้นหาเพิ่มเติม
CTRL + ALT + Z = Go back ย้อนกลับ
CTRL + < = Decrease Font size by step เพิ่มขนาดตัวอักษรทีละขนาดที่กำหนด
CTRL + > = Increase Font size by step ลดขนาดตัวอักษรทีละขนาดที่กำหนด
CTRL + [ = Decrease Font size by point เพิ่มขนาดตัวอักษรทีละพอยน์ CTRL + ] = Increase Font size by point ลดขนาดตัวอักษรทีละพอยน์
CTRL + - = Optional Hyphen แทรกยัติภังค์
CTRL + _ = Non Breaking Hyphen แทรกยัติภังค์แบบไม่แบ่งคำ
CTRL + = = Sub Script ตัวห้อย
CTRL + + = Super Script ตัวยก
CTRL + \ = Toggle Master sub document สลับไปมาระหว่างเอกสารหลักและเอกสารย่อย
CTRL + , = Prefix Keys กำหนดแป้นพิมพ์
กดปุ่ม F12 จะเป็นการ Save As..(บันทึกเป็น)
กดปุ่ม F7 จะเป็นการสะกดและไวยากรณ์
กดปุ่ม F5 จะเป็นการแทนที่ (การค้นหาและแทนที่)
กดปุ่ม F4 จะเป็นการใช้คำสั่งล้าสุดในการทำงาน เช่น ถ้าคำสั่งสุดท้ายเรากำลังลบงาน ถ้ากดปุ่ม F4 ก็จะลบงาน  แต่ถ้าเรากดปุ่ม Enter คำสั่งสุดท้าย ถ้ากดปุ่ม F4 ก็จะทำการเพิ่มบรรทัดขึ้นมา

            ที่มา : http://www.krudung.com/pb/index

SpeedUpMyPC (โปรแกรม ช่วยเพิ่มความเร็ว ให้กับ คอมพิวเตอร์ ของคุณ)

MS Windows XP: เทคนิคการปรับแต่ง windows xp ให้ทำงานเร็วขึ้น
        เทคนิค ต่อไปนี้ควรทำด้วยความระมัดระวัง และ เฉพาะผู้ที่มีความชำนาญเท่านั้น ก่อนจะทำการแก้ไขควรทำการสำรองในส่วนของ Registry ไว้ก่อนเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้

shutdown เร็วขึ้นให้ทำดังนี้ครับ1. เข้าไปที่คีย์


HKEY_LOCAL_MACHINE>SYSTEM>CurrentControlSet>Control
2. ดับเบิลคลิกที่ WaitToKillServiceTimeout
3. แก้ค่า Value data เป็น 1
4. เข้าไปที่คีย์ HKEY_CURRENT_USER>Control PanelDesktop
5. ดับเบิลคลิกที่ AutoEndTasks แก้ค่า Value data เป็น 1
6. ดับเบิลคลิกที่ HungAppTimeout แก้ค่า Value data เป็น 1
7. ดับเบิลคลิกที่ WaitToKillAppTimeout แก้ค่า Value data เป็น 1


เพิ่มความเร็วด้วยการจัดคิวให้ IRQ1. เข้าไปที่คีย์

HKEY_LOCAL_MACHINE>SYSTEM>Current>ControlSet>Control>PriorityControl
2. คลิกขวาที่ PriorityControl แล้วเลือก New --> DWORD
3. พิมพ์ชื่อว่า IRQ8Priority
4. ดับเบิลคลิกที่ IRQ8Priority
5. แก้ค่า Value data เป็น 1
6. คลิก OK แล้วบูตเครื่องใหม่


จูนหน่วยความจำสำหรับงานต่างๆ

1. เข้าไปที่คีย์ HKEY_LOCAL_MACHINESYSTEM>Current>ControlSet>Control>Session Manager>Memory Management
2. ดับเบิลคลิกที่ LargeSystemCache
3. แก้ค่า Value data เป็น 1
4. คลิก OK


เพิ่มบัฟเฟอร์ให้คีย์บอร์ดและเมาส์1. เข้าไปที่คีย์

HKEY_LOCAL_MACHINE>SYSTEM>Current>Control>SetServices>KbdclassParameters
2. ดับเบิลคลิกที่ KeyboardDataQueueSize
3. แก้ค่า Value data เป็น 100
4. แล้วเลือกเป็น Decimal
5. คลิก OK
6. เข้าไปที่คีย์ HKEY_LOCAL_MACHINESYSTEM>Current>ControlSet>Services>MouclassParameters
7. ดับเบิลคลิกที่ MouseDataQueueSize
8. แก้ค่า Value data เป็น 100
9. แล้วเลือกเป็น Decimal
10 คลิก OK


ลบข้อมูลใน Page File หลังปิดเครื่องแล้ว

โดยปกติ Windows จะไม่ลบ Page File หลังขากที่ปิดโปรแกรมหรือ Windows นั่นหมายความว่า ถ้าเราใช้งานเครื่องมากๆ อาจจะทำให้เครื่องช้าลงได้

1. เข้าไปที่คีย์ HKEY_LOCAL_MACHINESystem>Current>ControlSet>Control>Session Manager>Memory Management
2. ดับเบิลคลิกที่ ClearPageFileAtShutdown
3. พิมพ์ค่า 1 ลงไปใน Value data
4. คลิก OK แล้วบูตเครื่องใหม่


เพิ่มความเร็วให้กับเมนู Start

โดยเปลี่ยนแปลงค่าในรีจิสตรี้ HKEY_CURRENT_USER/Control Panel/Desktop/MenuShowDelay จากค่าปกติคือ 400 ให้เป็นค่าที่น้อยลง เช่น 40 หรือ 0

ปรับความเร็วโดยเพิ่มประสิทธิาพให้ CPU XP

เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้ซีพียูโดยปรับขนาดของ Cash L2 ที่เหมาะสมในซีพียูดูการปรับดังนี้

1. คลิกที่ Start
2. เลือกแถบรายการ Run
3. ที่ช่อง Open พิมพ์คำว่า regedit แล้วคลิกปุ่ม OK
4. เข้าไปปรับแต่งที่ HKEY_LOCAL_MACHINSYSTEM>Current>ControlSet>Control>Session Manager>Memory Management
5. ที่หน้าต่างด้านบนขวา ให้คลิกที่ SecondLevlData...
6. เลือกรายการ Modify
7. จะปรากฎหน้าต่าง Edit DWORD Value
8. ที่กรอบรายการ Base : คลิกเม้าส์ที่ Decimal ( ใส่ตัวเลขธรรมดา)
9. ที่กรอบรายการ Value data : ใส้ค่าไป 125 (ดูได้จากคู่มือเมนบอร์ดและซีพียูบางรุ่นอาจเป็น Cash L2 ขนาด 256 หรือ 512)
10. คลิก OK


ติดจรวดเล่นอินเตอร์เน็ตให้กับ Windows XP

การใช้งานอินตอร์เน็ตบางครั้งจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับส่วนประกอบหลาย ด้านเราก็ พยายามหาหนทางปรับแต่งให้ถูกใจ และถูกเงิน วิธีนี้เป็นอีกวิธีที่ทำให้การท่องอินเตอร์เน็ตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

1. คลิกที่ปุ่ม Start
2. เลือกที่แถบรายการ Run
3. ที่ช่อง Open พิมพ์คำว่า gpedit.msc แล้วคลิก OK
4. จะแสดงหน้าต่างของการปรับแต่ง Group Policy
5. ที่ Computer Configaration เลือกแถบ Administrative Templates
6. หัวข้อ Network เลือกที่ QoS Packet Scheduler
7. มองหน้าต่างด้านขวามือ ให้ดับเบิ้ลคลิกที่ Limit reservable bandwidth
8. จะปรากฎกรอบหน้าต่างใหม่ Limit reservable bandwidth Properties
9. เลือกแถบ Setting คลิกที่ช่อง Enable
10. ในช่อง bandwidth limit (%) : ปรับค่าเป็น 0
11. คลิก OK เพื่อยืนยันการใช้งาน


ที่มา : http://www.vajira.ac.th/kt/modules.php?name=News&file=categories&op=newindex&catid=4

การปรับแต่งให้ระบบปฏิบัติการ Windows XP
ทำการ Shutdown ได้รวดเร็วทัน

        หลายท่าน ที่ใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows XP แล้วพบว่า มีปัญหาเรื่องการ Shutdown ที่รู้สึกว่าจะช้ามาก ต้องนั่งคอย ค่อนข้างนาน กว่าเคร่องจะปิดตัวเองลงได้ ลองมาดูขั้นตอนการปรับแต่ง ให้ระบบของ Windows XP มีการ Shutdown ที่รวดเร็วขึ้นกันดีกว่า
        ก่อนอื่น มาทราบสาเหตุของการ Shutdown ที่ช้ากันก่อน สาเหตุหลัก ๆ ที่พบกันบ่อย ก็เนื่องมาจาก ขั้นตอนของการ Shutdown นั้น ระบบจะทำการปิด service ต่าง ๆ แต่เนื่องจากบาง service มีปัญหาและไม่สามารถปิดได้ จึงมีการรออยู่ระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะ ทำการยกเลิกและ Shutdown ตัวเอง ซึ่งอาจจะมีต้นตอมาจาก การลง driver ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ถูกต้อง หรือเกิดจาก โปรแกรมป้องกันไวรัส บางตัวก็ได้ ดังนั้น การแก้ไขแบบง่าย ๆ ก็คือ ทำการกำหนดช่วงเวลาของการปิด service เหล่านี้ ให้เร็วขึ้น โดยการเข้าไปแก้ไขในระบบ Registry ของ Windows


ขั้นตอนการปรับแต่งให้ Windows ทำการ Shutdown ได้เร็วขึ้น

         โดยการเข้าไปแก้ไข Registry โดยที่ Start Menu ที่ Run พิมพ์คำว่า regedit และกด OK จากนั้น
เข้าไปแก้ไขค่าของ Registry ดังต่อไปนี้
[HKEY_CURRENT_USER\Control Panel\Desktop]
"AutoEndTasks"="1"
"HungAppTimeout"="2000"
"WaitToKillAppTimeout"="3000"
[HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Control]
WaitToKillServiceTimeout"="3000"

ลองดูตัวอย่าง




และอีกรูปหนึ่ง



          หลังจากแก้ไขแล้วก็ปิดโปรแกรม Registry Editor ได้เลย จากนั้นก็ทดลองทำการ Shutdown กันดู

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประวัติ / วิวัฒนาการของCPU (Intel)

หลังจากที่ Intel ออกCPU สำหรับอุปกรณ์พกพาในชื่อว่า Atom ไปเรียบร้อยแล้วนั้น กระแสก็ออกมาแรงเห็นๆ ทั้งกลุ่มผู้ผลิตมากมายก็เจาะตลาดขาย Netbook กันอย่างล้นหลาม Intel นั้นมีตำนานในการผลิต Microprocessor ตั้งแต่ใช้ในเครื่องคิดเลข และพัฒนาต่อยอดขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งทำให้เห็นว่าศักยภาพของการพัฒนาที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั้น ทำให้เราได้ใช้เทคโนโลยีอย่างไร้ขีดจำกัด อยู่ที่ว่าเงินในกระเป๋าเราจะมีแค่ไหน ที่นี่เรามาย้อนดูวิวัฒนาการตั้งแต่ ปี 1971 จนถึงปัจจุบันกัน
1971 : 4004 Microprocessor รุ่นแรกของ Intel ใช้งานในเครื่องคิดเลข

1972 : 8008 Microprocessor รุ่นที่พัฒนาต่อมา ใช้งานแบบ "TV typewriter" กับ dump terminal

1974 : 8080 Microprocessor รุ่นนี้เป็นการใช้งานแบบ Personal Computer รุ่นแรก ๆ

1978 : 8086-8088 Microprocessor หรือรุ่น XT ยังเป็นแบบ 8 bit เป็น PC ที่เริ่มใช้งานจริงจัง

1982 : 80286 Microprocessor หรือรุ่น AT 16 bit เริ่มเป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานแพร่หลายกันแล้ว

1985 : 80386 Microprocessor เริ่มเป็น CPU 32 bit และสามารถทำงานแบบ Multitasking ได้

1989 : 80486 Microprocessor เข้าสู่ยุคของการใช้จอสี และมีการติดตั้ง Math-Coprocessor ในตัว  
     
รุ่นแรกๆ ทาง  Intel  ใช้ชื่อรุ่นเป็นรุ่นของ CPU นั้นๆเลยจึงเกิดการเลียนแบบเทคโนโลยีกันขึ้นโดยค่ายอื่นได้ผลิตเทคโนโลยีตามหลังIntelมาเรื่อยๆ  ต่อมาทาง Intel ได้ใช้ชื่อ Pentium แทน 80486 เนื่องจากการที่ ชื่อสินค้าที่เป็นตัวเลขกฏหมายไม่ยอมให้จดลิขสิทธิ์ จึงเป็นที่มาของชื่อ Platform ต่างๆ

1993 : Pentium Processor ยุคแรกที่ Intel ใช้ชื่อว่า Pentium

1995 : Pentium Pro Processor สำหรับเครื่อง Server และ Work Station โดยต่อมาได้ผลิตเทคโนโลยี  MMX และทำเป็น Intel  MMX

1997 : Pentium II Processor รวมเ Technology ของ Pentium Pro คือ มี cache ระดับ 2 รวมอยู่บน
package เดียวกับ CPU กับ Technology MMX ไว้ด้วยกัน แล้วทำการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายใน

1998 : Pentium II Xeon(TM) Processor สำหรับ Server และ Work Station

1999 : Celeron(TM) Processor สำหรับตลาดระดับล่างของ Intel ที่ตัดความสามารถบางส่วนออก เพื่อลดต้นทุนการผลิต และ สามารถขายได้ในราคาที่ถูกกว่า Pentium II มาก แต่ถึงแม้ Celeron ที่ออกมานั้น จะใช้ในงานด้าน เล่นเกมส์ได้ดี แต่กลับงานประเภท office application กลับทำได้แย่กว่า หรือพอพอกับ Pentium MMX

1999 : Pentium III Processor เพิ่มชุดคำสั่งที่ช่วยประมวลผลในด้านต่างๆไปใหม่ ในลักษณะของ MMX  

1999 : Pentium III Xeon(TM) Processor สำหรับ Server และ Work Station

2001 : Pentium 4 Processor    มีเทคโนโลยี HT ทำให้การใช้งานทีละหลายโปรแกรมได้ดีขึ้น
2003 : Pentium M ส่วนใหญ่ใช้ใน mobile technology  เนื่องจากใช้กำลังไฟฟ้าน้อย
2005 : Pentium D มีการใช้สถาปัตยกรรมแบบ Multi-core เพิ่มเข้ามาโดยมี2 coreแต่ละ core จะเป็นอิสระต่อกัน
2006 : Intel Core duo นี่แหละครับพระเอกของเรา   ต่างกับ Pentium D ตรงที่มีการแชร์ 2 core ด้วยกัน (dual core)
2006 : Intel Core 2 Duo  รองรับชุดคำสั่ง 64 bit และยังประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย
2006 : Intel Core 2 Extreme QX6700   คือ มี 4 core
2006 : Yorkfield   คือ 8 core

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Moore's law คืออะไร

 Moore’s Law
กฎของมัวร์ หรือ Moore’s Law  คือกฎที่อธิบายแนวโน้มของการพัฒนาฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ในระยะยาว โดยมีความว่า จํานวนทรานซิสเตอร์ที่สามารถบรรจุลงในชิพจะเพิ่ม ขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆสองปี  ซึ่งกฎนี้ได้ถูกตั้งชื่อตาม Gordon E. Moore ผู้ก่อตั้Intel ซึ่งเขาได้อธิบายแนวโน้มนีไว้ในรายงานของเขาในปี  1965 และเมื่อเวลาผ่านไปจึงพบว่ากฎนี้นั้นแม่นยําอย่างประหลาด อาจเกิดเนื่องจาก อุตสาหกรรม  semiconductor ได้นํากฎนี้ไปเป็นเป้าหมายในการวางแผนพัฒนาอุตสาหกรรมของตนก็เป็นได้
กฎของมัวร์ (Moore’s Law)
กฎของมัวร์ (Moore’s law) อธิบายโดย กอร์ดอน มัวร์ (Gordon Moore) อดีตซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทลกล่าวถึง ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม จะเพิ่มเป็นเท่าตัวทุกสองปี

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

รหัส ASCII และเลขฐาน16

PIMVILAI TUMMACHAT  ใช้พื้นที่  18  ไบต์

P                      รหัสASCII      คือ       0101 0000        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(5)16
I                       รหัสASCII      คือ       0100 1001        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(49)16
M                     รหัสASCII      คือ       0100 1101        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(4D)16
V                     รหัสASCII      คือ       0101 0110        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(56)16
I                       รหัสASCII      คือ       0100 1001        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(49)16
L                      รหัสASCII      คือ       0100 1100        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(4C)16
A                     รหัสASCII      คือ       0100 0001        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(41)16
I                       รหัสASCII      คือ       0100 1001        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(49)16
SPACE            รหัสASCII      คือ       0010 0000        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(2)16
T                      รหัสASCII      คือ       0101 0100        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(54)16
U                     รหัสASCII      คือ       0101 0101        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(55)16
M                     รหัสASCII      คือ       0100 1101        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(4D)16
M                     รหัสASCII      คือ       0100 1101        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(4D)16
A                     รหัสASCII      คือ       0100 0001        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(41)16
C                     รหัสASCII      คือ       0100 0011        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(43)16
H                     รหัสASCII      คือ       0100 1000        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(48)16
A                     รหัสASCII      คือ       0100 0001        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(41)16
T                      รหัสASCII      คือ       0101 0100        มีค่าในฐานสิบหก       คือ(54)16